ทัวร์โปรตุเกส-อันดอร์รา-สเปน

ทัวร์โปรตุเกส-อันดอร์รา-สเปน  - บริษัท บิ๊กสมาย ทราเวล จำกัด
รหัสทัวร์
108-01262
วันที่เดินทาง
ก.ย.67
ช่วงเวลา
10 วัน 7 คืน
เดินทางโดย
Emirates (EK)

ไฮไลท์

  • เมืองซินตรา - พระราชวังพีน่า - ปราสาทควินตา ดา เรกาเลรา
  • เมืองลิสบอน - รูปปั้นพระเยซูคริสต์ - หอคอยเบเล็ม
  • มหาวิหารเจอโรนิโมส - อารามบาตาลยา - เมืองฟาติมา
  • มหาวิหารแม่พระฟาติมา - จัตุรัสลาร์โก ดา ปอร์ตาเกม
  • มหาวิทยาลัยโคอิมบรา - ห้องสมุดจอห์นที่ 5 - โบสถ์เซามิเกล
  • จัตุรัส Praça da Liberdade - อาราม Serra do Pilar
  • วิหาร Bom Jesus do Monte - ร้านหนังสือลิฟราเรีย เลลโล
  • โบสถ์เซนต์ฟรานซิส - พระราชวังพาลาซิโอ ดา โบลซา

แผนการเดินทาง

22.00 น. พร้อมกันที่สนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ ณ อาคารผู้โดยสารขาออกระหว่างประเทศ ชั้น 4 ประตู 9 เคาน์เตอร์ T โดยสายการบิน EMIRATES และอํานวยความสะดวกในการเช็คอินด้านสัมภาระและเอกสารให้กับท่าน โดยมีเจ้าหน้าที่บริษัทคอยให้การต้อนรับ

01.15น. เหินฟ้าสู่ ดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยสายการบิน EMIRATES เที่ยวบิน EK 385 (01.15-04.45) (ใช้เวลาบิน 6 ชั่วโมง 30 นาที) (บริการอาหารบนเครื่อง)

04.45น. เดินทางถึงสนามบินนานาชาติดูไบ รอเปลี่ยนเครื่องบินเพื่อเดินทางต่อไปยังจุดหมายปลายทาง เมืองลิสบอน (Lisbon)

07.25 น. เหินฟ้าสู่ เมืองลิสบอน ประเทศโปรตุเกส โดยสายการบิน EMIRATES เที่ยวบิน EK 191 (07.25-12.35) (ใช้เวลาบิน 8 ชั่วโมง 10 นาที) (บริการอาหารบนเครื่อง)

12.35 น. เดินทางถึงสนามบินนานาชาติลิสบอน หลังผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากรพร้อมรับ กระเป๋าเรียบร้อยแล้ว นําท่านเดินทางเข้าสู่ใจกลางเมืองหลวงทางรถยนต์ราว 6 กิโลเมตรจากสนามบิน


กลางวัน  รับประทานอาหารกลางวัน


   ออกเดินทางสู่ เมืองซินตรา (Sintra) (มีระยะทางราว 30 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทาง 40 นาที) เป็นเมืองพักตากอากาศยอดนิยมของโปรตุเกส ที่สําคัญคือเป็นต้นแบบศูนย์กลางแห่งแรกของ สถาปัตยกรรมโรแมนติกของยุโรปในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 ทําให้หลายๆเมืองในยุโรปสร้าง ตามกัน จึงได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก้ในฐานะเป็นภูมิทัศน์เชิง วัฒนธรรม “Cultural Landscape” แห่งแรกในยุโรปเมื่อปี ค.ศ.1995

   นําท่านชม พระราชวังพีน่า (Pena National Palace) ตั้งอยู่บนยอดเขาซินตรา เป็นผลงาน สถาปัตยกรรมแนวจินตนิยม (Romanticism) ออกแบบโดยสถาปนิกชาวโปรตุเกส เดิมเป็น โบสถ์เก่าแก่ที่สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยคริสต์ศตวรรษที่ 15 ซึ่งถูกทิ้งร้างแต่หลังจากเหตุการณ์ แผ่นดินไหวในปี ค.ศ.1755 โบสถ์นี้ได้พังทลายลงเหลือแต่ซากปรักหักพัง จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1838 กษัตริย์เฟอร์ดินานด์ที่ 2 ได้ตัดสินใจสร้างพระราชวังขึ้นใหม่แทนที่โบสถ์หลังเดิม แล้ว เสร็จเมื่อปี ค.ศ.1854 สถาปัตยกรรมดังกล่าวเป็นการผสมผสานการใช้องค์ประกอบแบบอียิปต์ มัวร์ โกธิก และเรอเนซองส์ อย่างลงตัว พระราชวังทาด้วยสีเหลือง แดง น้ําเงิน ม่วง ดูฉูดฉาด สดใส ล้อมรอบไปด้วยพรรณไม้นานาชนิดจากทั่วโลก สวยงามดั่งปราสาทในเทพนิยาย ภายใน พระราชวังสมัยศตวรรษที่ 19 มีโบสถ์ กุฏิ และห้องโถงของอารามสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 16 ซึ่ง ตกแต่งอย่างหรูหราด้วยกระเบื้องเซรามิกอาซูเลโฮ

   นําท่านชม แหลมโรก้า (Capo Da Roca) เป็นแหลมที่ตั้งอยู่ปลายสุดทางทิศตะวันตกของทวีป ยุโรปติดกับมหาสมุทรแอตแลนติก มีอนุสาวรีย์ตั้งอยู่โดดเด่นบนหน้าผาหิน เป็นอนุสาวรีย์ ประกาศให้ Capo da Roca เป็นจุดตะวันตกสุดของทวีปยุโรป ซึ่งบริเวณนี้จะเป็นชะง่อนผาสูง ประมาณ 100 เมตรเกิดจากการกัดเซาะของน้ําทะเลซึ่งทําให้เกิดคลื่นขนาดใหญ่สูงกว่า 30 เมตร ส่วนบริเวณนี้มีต้นกรงเล็บแม่มด (Carpobrotus edulis) ปกคลุมอยู่ทั่วซึ่งสามารถทนต่อ น้ําทะเลและลมชายฝั่งมากที่สุด
 
   นําท่านชม ปราสาทควินตา ดา เรกาเลรา (Quinta da Regaleira) ปราสาทเก่าที่มีการถ่าย ทอดแนวคิดและจินตนาการสุดล้ําลึกของมหาเศรษฐีชาวบราซิลที่นําบ้านหลังนี้มาปรับปรุงใหม่ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 กลาย เป็นปราสาทที่มีแผนผังและโครงสร้างที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ ไม่เหมือนใคร นอกจากตัวปราสาทแล้ว พื้นที่โดยส่วนใหญ่ของที่นี่แบ่งส่วนเป็น สวนป่า โบสถ์ ทะเลสาบเทียม บ่อน้ําลึกลับ เป็นต้น เพียงก้าวเดินเข้าไปข้างในปราสาทก็จะรู้สึกเหมือนตัวเอง ทะลุไปในอีกหนึ่งมิติที่แฝงไปด้วยความพิศวงน่าอัศจรรย์ใจ
ก่อนเดินทางกลับสู่เมืองลิสบอน พาเดินเล่นที่ ย่านเก่าเมืองซินตรา (Old Centre of Sintra) จุดศูนย์รวมตึกอาคารที่มีรูปแบบสถาปัตยกรรมเก่าแก่ในเมือง รวมถึงพิพิธภัณฑ์สําคัญต่างๆ อีกทั้งยังมีโบสถ์ ร้านค้า ร้านอาหารต่างๆ มากมายให้ท่านได้เดินชมเลือกซื้อสินค้าพื้นเมืองได้อย่างอิสระตามอัธยาศัย

    เดินทางกลับสู่ เมืองลิสบอน (Lisbon) เมืองหลวงและเมืองใหญ่ที่สุดของประเทศโปรตุเกส ตั้งอยู่ทางตอนตะวันตกของประเทศ ในบริเวณปากแม่น้ําเทกัส (Tagus หรือ Tejo) เคยอยู่ใต้ ปกครองของกรีกโบราณและโรมัน ลิสบอนได้รับอิทธิพลจากศาสนาคริสต์ แต่เมื่อปี ค.ศ.711 ลิสบอนถูกครอบครองโดยชาวมัวร์และนับถือศาสนาอิสลามในช่วงนั้นชาวลิสบอนจึงใช้ภาษา อาหรับเป็นภาษาราชการ แต่ช่วงปี ค.ศ.1147 ลิสบอนกลับมาอยู่ภายใต้ศาสนาคริสต์อีกครั้ง ลิสบอนเปลี่ยนมาใช้ภาษาโปรตุเกสและชาวอิสลามส่วนมากก็เปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์ ลิสบอนได้กลายเป็นเมืองหลวงของโปรตุเกสในปี ค.ศ. 1255


ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ
เข้าสู่โรงแรมที่พัก Holiday Inn Lisbon, an IHG Hotel 4* หรือเทียบเท่า

เช้า  รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม

   นําท่านชม รูปปั้นพระเยซูคริสต์ (Sanctuary of Christ the King) ระหว่างทางจะนั่งรถข้าม สะพานแขวนที่ยาวที่สุดในยุโรป ซึ่งสะพานนี้มีชื่อว่า 25 April Bridge (Ponte 25 de Abril) สะพานข้ามฝั่งที่ข้ามแม่น้ําเทกัส มีความยาวราว 2 กิโลเมตร ชื่อของสะพานแห่งนี้คือ เมื่อวันที่ 25 เมษายน ค.ศ.1974 ได้เกิดการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองมาสู่ระบอบประชาธิปไตย สะพานแห่งนี้มีลักษณะคล้ายกับสะพาน Golden Gate ที่ซานฟรานซิลโก สหรัฐอเมริกา ซึ่งสร้างโดยบริษัทเดียวกัน จากนั้นท่านจะพบกับ รูปปั้นพระเยซูคริสต์ (คล้ายกับที่ ริโอ เดอ จาเนโร ประเทศบราซิล) อันเกิดจากแรงบันดาลใจของพระคาร์ดินัล พระสังฆราชแห่งลิสบอน (Cardinal Patriarch of Lisbon) ที่ได้ไปเยือนนคร ริโอ เดอ จาเนโร มีความสูง 82 เมตร เป็น อนุสาวรีย์และศาสนสถานของชาวคาทอลิกที่อุทิศถวายให้กับพระหฤทัยของพระเยซูคริสต์ที่ตั้งอยู่ในเมืองอัลมาดา


    นําท่านชม หอคอยเบเล็ม (Belem Tower) สัญลักษณ์ของเมืองเบเล็ม และสัญลักษณ์ของยุค แห่งการค้นพบ ถูกสร้างขึ้นในระหว่างปี ค.ศ.1514-1519 โดย Francisco de Arruda สถาปนิก คนสําคัญที่เป็นทหารโปรตุเกสเป็นผู้ออกแบบก่อสร้างที่ได้รับอิทธิพลจากศิลปะแขกมัวร์ สิ่งก่อสร้างส่วนอื่นๆของหอคอยจะมีส่วนผสมของศิลปะเรอเนซองส์ หอคอยแห่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของ ระบบป้องกันเมืองริมฝั่งทะเลและแม่น้ําเทกัส ตัวหอคอยเบเล็มประกอบไปด้วยหินอ่อนมีความสูงกว่า 30 เมตร สร้างเพื่อใช้เป็นป้อมปราการรักษาการณ์ดูแลการเดินเรือ เดิมทีป้อมปราการนี้ ตั้งอยู่กลางน้ําแต่เพราะแม่น้ําเทกัสเปลี่ยนทิศการไหลหลังเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในปี ค.ศ.1755 จึงทําให้ป้อมปราการย้ายมาตั้งอยู่ริมฝั่งแทนในปัจจุบัน เนื่องจากโปรตุเกสเป็นที่รู้จัก กันดีในฐานะจ้าวแห่งทะเลและเป็นชาติตะวันตกชาติแรกที่มาติดต่อกับสยาม ที่นี่จึงเป็นจุดเริ่ม ต้นของการเดินเรือออกไปสํารวจและค้นพบโลกของวาสโก ดา กามา (Vasco Da Gama) และ นักเดินเรือชาวโปรตุเกส เป็นเสมือนตัวแทนความรุ่งเรืองของยุคแห่งการสํารวจและค้นพบใน อดีต หอคอยเบเล็มได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก้ในปี ค.ศ.1983

   นําท่านชม มหาวิหารเจอโรนิโมส (Jeronimos Monastery) อารามนี้ใช้เวลาก่อสร้างราว 100 ปี เริ่มสร้างในปี ค.ศ.1501 และเสร็จสิ้นพร้อมเปิดใช้งานในปี ค.ศ.1601 เป็นอารามศักดิ์ สิทธิ์ของบรรดาเชื้อพระวงศ์ และมีความสัมพันธ์แนบแน่นกับบรรดานักเดินเรือในยุคแห่งการ สํารวจและค้นพบ เพราะพวกเขาจะมาสวดภาวนาขอพรในคืนก่อนออกเดินทางที่นี่ ด้วยการ ออกแบบที่โดดเด่นด้วยรายละเอียดประติมากรรมอันประณีตและลวดลายการเดินเรือ ผลงาน สถาปัตยกรรมในสไตล์นี้กลายเป็นที่รู้จักในชื่อ "มานูเอลีน" (MANUELINE) ที่นี่ได้รับ ที่นี่ได้รับการขึ้น ทะเบียนให้เป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโกเป็นมรดกโลกในปีค.ศ.1983 ภายในประกอบไป ด้วยอาคารสําคัญต่างๆ รวมทั้งยังเป็นสถานที่เก็บศพของวาสโก ดา กามา นักเดินเรือสํารวจ ชาวโปรตุเกสผู้ค้นพบเส้นทางการเดินเรือจากยุโรปสู่อินเดียอีกด้วย ก่อนอําลา พาแวะร้านทาร์ตไข่ที่มีชื่อเสียงเก่าแก่ Pasteis de Belem ที่อยู่ใกล้ๆ มหาวิหารเจอ โรนิโมส เพราะร้านนี้ขึ้นชื่อเรื่องความเก่าแก่และรสชาติระดับตํานานเลยทีเดียว


กลางวัน  รับประทานอาหารกลางวัน


   ออกเดินทางสู่ โอบิโดส (Obidos) (ระยะทางราว 90 กิโลเมตร ใช้เวลาราว 1 ชั่วโมง 15 นาที) เป็นเมืองเก่ายุคกลางที่งดงามที่สุดแห่งหนึ่งและได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดีในโปรตุเกสโอบิดอสมีความสําคัญทางยุทธศาสตร์ในดินแดนแถบนี้ ได้มีการตั้งรกรากแล้วก่อนที่ชาวโรมันจะมาถึงคาบสมุทรไอบีเรีย และเมืองก็เจริญรุ่งเรืองหลังจากเมืองแห่งนี้ถูกเลือกให้เป็นของขวัญอภิเษกสมรสจากกษัตริย์ไดนิสแห่งโปรตุเกสได้มอบให้แก่พระราชินีอิซาเบล พระมเหสีในช่วง คริสต์ศตวรรษที่13 ชื่อเมืองตั้งมาจากภาษาละตินโบราณ แปลว่า “ป้อมปราการอันแข็งแกร่ง”

   นําท่านชม บริเวณเมืองเก่า ท่านจะพบกับปราสาทโอบิโดสที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี ภายในกําแพง และเดินผ่านถนนโบราณที่คดเคี้ยววกวนและเดินชมบ้านเรือนสีขาวสะอาดตา แบบเพลินๆ นอกจากจะได้เห็นมุขมานูเอลีน ช่องหน้าต่างหลากสีสันและจัตุรัสเล็กๆ แล้วก็ยังมี ตัวอย่างสถาปัตยกรรมทางศาสนาและโยธาอันวิจิตรมากมายจากยุคทองของเมืองอีกด้วย ที่นี่ ยังมีเครื่องดื่มขึ้นชื่อ คือ Ginjinha de Obidos (บรั่นดีเชอร์รี่) อย่าลืมลองซื้อชิมรสชาติดู ครั้นได้เวลาพอสมควร

   เดินทางต่อสู่ เมืองบาตาลยา (Batalha) (ระยะทางราว 58 กิโลเมตร ใช้เวลาราว 50 นาที) แวะชม อารามบาตาลยา (Batalha Monastery) เป็นอารามโดมินิกัน สร้างขึ้นเพื่อรําลึกถึงชัยชนะของชาวโปรตุเกสในการรบที่อัลจูบาร์โรตา (Battle of Aljubarrota) ในปี ค.ศ.1385 เป็นหนึ่งในตัวอย่างที่ดีที่สุดและเป็นต้นฉบับของสถาปัตยกรรมโกธิคผสมผสาน กับสไตล์มานูเอลีน และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก้ในปีค.ศ.1983


ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ 
เข้าสู่โรงแรมที่พัก Hotel Villa Batalha 4* หรือเทียบเท่า

เช้า  รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม

   ออกเดินทางสู่ เมืองฟาติมา (Fatima) <25 KMS / 30 MIN> เป็นเมืองเล็กๆที่รู้จักของบรรดา นักแสวงบุญผู้ซึ่งเดินทางมาสักการะบูชาพระแม่มารี ตามตํานานเล่าว่าในวันที่ 13 ตุลาคม ค.ศ. 1917 ผู้คนกว่า 70,000 คนได้มารวมตัวกันที่แอ่งอีรียา (Cova da Iria) เพื่อรอดูอัศจรรย์ตามคํา สัญญาที่แม่พระที่ให้ไว้แก่เด็กเลี้ยงแกะ 3 คน ลูซีอา (Lucia Santos) ฟรานซิสโก และยาชินทา (Francisco and Jacinta Marto) โดยทั้งสามคนได้พบกับพระแม่มารีหรือแม่พระประจักษ์ (แม่ พระแห่งลูกประคํา) ที่เสด็จลงมาจากสวรรค์รวมทั้งสิ้น 6 ครั้ง ในปีค.ศ.1917

   นําท่านชม มหาวิหารแม่พระฟาติมา (Sanctuary of Our Lady of Fatima) เป็นมหาวิหาร ศักดิ์สิทธิ์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโปรตุเกส เพราะจะมีชาวคริสต์คาทอลิคผู้แสวงบุญเดินทางมา สักการะบูชาพระแม่ประจักษ์นับแสนคนในช่วงวันสําคัญ คือวันที่ 13 พฤษภาคม และ 13 ตุลาคมของทุกปี โดยจะมีพิธีมิสซาระลึกถึงการประจักษ์มาของแม่พระ และมีพิธีแห่รูปแม่พระ แห่งฟาติมา พร้อมกับพระธาตุของนักบุญฟรานซิสโกและนักบุญยาชินทา เชิญชมต้นโอ๊คเป็นจุดที่แม่พระปรากฏต่อหน้าเด็กเลี้ยงแกะทั้งสาม สัมผัสรับพลังแห่งความรักและเมตตาของแม่ พระประจักษ์ที่มีต่อโลกและมนุษย์ ณ Chapel of the Apparitions ที่เก่าแก่และถูกสร้างขึ้น ครั้งแรกในปีค.ศ. 1919 และปัจจุบันถือเป็นส่วนสําคัญที่สุดของมหาวิหารแม่พระแห่งลูกประคํา

   เดินทางต่อสู่ เมืองโคอิมบรา (Coimbra) <85 KMS / 1 HRS>  เมืองหลวงเก่าของโปรตุเกส ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 12-13 เมืองนี้ยังมีชื่อเสียงในเรื่องความเป็นเมืองมหาวิทยาลัย เพราะมี มหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดในโปรตุเกสตั้งอยู่ที่นี่ เมืองโคอิมบราเป็นเมืองที่มีสีสันสดใสสังเกตดู ได้จากจัตุรัสลาร์โก ดา ปอร์ตาเกม (Largo da Portagem) ที่มีสถาปัตยกรรมงดงามในแบบ โปรตุเกสโดยแท้ ทั้งรูปปั้น และอาคารร้านค้าร้านรวงต่างๆ ตลอดจนวิถีชีวิตของผู้คนผู้เติมเต็ม ให้โคอิมบราดูมีชีวิตชีวาครบองค์ประกอบ พาท่านเดินทอดน่องบนถนนคนเดินชื่อ เฟอร์เรยรา บอร์เกส (Rua Ferreira Borges) ที่ทอดยาวเข้าไปหาเมืองเก่าที่มีร้านรวงต่างๆ ให้เลือกช้อป ปิ้งตลอดทาง หรือจะแวะทานขนมที่ร้านขายขนมชื่อว่า Pastelaria Toledo ร้านเก่าแก่ประจํา เมืองที่แน่นขนัดไปด้วยผู้คนที่มารอต่อคิวซื้อทาร์ตไข่แสนอร่อยแล้วมุ่งหน้าเดินไปยังไฮไลท์ของเมือง ณ มหาวิทยาลัยโคอิมบรา (University of Coimbra) มหาวิทยาลัยแห่งแรกของโปรตุเกส และถือเป็นมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่อันดับต้นๆ ของยุโรปอีกด้วย ที่ก่อตั้งขึ้นในพระราชวังอัลคาโซวา (The Royal Palace of Alcaçova) ในปี ค.ศ. 1537 ก่อนที่จะพัฒนาเป็นมหาวิทยาลัยโคอิมบรา ปัจจุบันได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกโดย องค์การยูเนสโก้ในปี ค.ศ.2013 ด้วยชัยภูมิที่ดีของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ที่ตั้งเด่นตระหง่านอยู่บน เนินเขา ทําให้เห็นวิวทิวทัศน์และแม่น้ํามอนเดโก (Mondego River) ที่ไหลผ่านเมืองได้อย่าง สวยงาม เมื่อขึ้นมาถึงอาณาบริเวณของมหาวิทยาลัยอันเก่าแก่แห่งนี้ นอกจากรูปปั้นของ
พระเจ้าจอนห์ที่ 3 ที่ตั้งอยู่กลางลานแล้ว ยังมีหลายจุดที่น่าสนใจ อาทิเช่นหอนาฬิกา และโบสถ์ เล็กๆ แต่ไฮไลท์สําคัญอยู่ที่ ห้องสมุดจอห์นที่ 5 (Biblioteca Joanina) อันเก่าแก่ที่ด้านใน บรรยากาศเคร่งขลังยิ่งกว่าโบสถ์ บางครั้งรู้จักกันในชื่อ Joanine Library เป็นห้องสมุดสไตล์บา รอค ตั้งอยู่ใจกลางมหาวิทยาลัยโคอิมบรา ถือเป็นหนึ่งในห้องสมุดที่สวยที่สุดในโลก สร้างขึ้น เพื่อส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมและวิทยาศาสตร์ บนเพดานมีรูปวาดสีทองสวยงาม ประตูทางเข้าทํา มาจากไม้สัก โต๊ะไม้นําเข้ามาจากอิตาลี และชั้นวางหนังสือทําจากไม้โอ๊ค เขาว่ากันว่ามีหนังสือ โบราณอยู่กว่า 300,000 เล่ม ตั้งแต่ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 15-19 ส่วนมากจะเป็นหนังสือทางด้าน การแพทย์ วิทยาศาสตร์ ภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ การศึกษามนุษยธรรม กฎหมายและปรัชญา


กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน


  นําท่านชม โบสถ์เซามิเกล (Chapel of Sao Miguel) ตั้งอยู่ภายในเขตมหาวิทยาลัย ซึ่งเคย เป็นพระราชวังของราชวงศ์โปรตุเกส โบสถ์นี้สร้างขึ้นเพื่ออุทิศถวายแด่นักบุญ São Miguel เนื่องจากนักบุญองค์นี้เป็นผู้ที่เหล่าทหารจะสวดภาวนาถึงท่านก่อนออกไปทําสงครามในช่วงยุคกลาง เพราะเชื่อกันว่าท่านเป็นผู้พิทักษ์ของพวกเขา โบสถ์เก่าแก่หลังนี้เป็นแบบโบสถ์ดั้งเดิมมี สถาปัตยกรรมแบบมานูเอลีน ที่เป็นการก่อสร้างแบบโปรตุเกสที่ได้รับแรงบันดาลใจจากกษัตริย์ มานูเอลที่ 1 ผู้ทรงทําการปฏิรูปประเทศหลายครั้งหลายครา ภายในโบสถ์ปูด้วยกระเบื้องสีน้ํา เงิน สีขาว และสีเหลืองแบบโปรตุเกสบนผนัง มีภาพวาดบนเพดาน แท่นบูชาหลักทําจากไม้ และทาด้วยทองคํา มีรูปเคารพและรูปปั้นมากมาย ซึ่งสวยงามอย่างวิจิตรบรรจงก่อนอําลาเมืองโคอิมบรา นําท่านชม พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ มาชาโด เด คาสโตร (The National Museum Machado de Castro) เป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะที่ตั้งชื่อตามประติมากรชาว โปรตุเกสชื่อ Joaquim Machado de Castro เปิดให้บริการครั้งแรกในปีค.ศ.1913 ตั้งอยู่ในวัง บิชอปเดิม (Bishop's Palace) ภายในพิพิธภัณฑ์ส่วนใหญ่ประกอบด้วยสิ่งของจากโบสถ์และ สถาบันทางศาสนาในพื้นที่โดยรอบโคอิมบรา ประติมากรรม ภาพวาด โลหะมีค่า เซรามิก และ สิ่งทอ


   ออกเดินทางสู่ เมืองปอร์โต (Porto) <120 KMS / 1.5 HRS> ตั้งอยู่ริม แม่น้ําโดรู (Douro) (เป็นหนึ่งในแม่น้ําสายสําคัญของคาบสมุทรไอบีเรีย (Iberian Peninsula) ไหลจากต้นน้ําในเขต ภาคกลางตอนบนของประเทศสเปน จากนั้นจึงไหลเข้าสู่ภาคเหนือของประเทศโปรตุเกสไป ออกมหาสมุทรแอตแลนติกที่เมืองปอร์โต แม่น้ําโดรูมีความยาวกว่า 897 กิโลเมตร เป็นแม่น้ํา สายหลักสําหรับการขนส่งไวน์ การเกษตร และการท่องเที่ยวสําคัญของเมืองปอร์โต) เป็นหนึ่ง ในเมืองศูนย์กลางเก่าแก่ของยุโรป เป็นเมืองท่าสําคัญและมีชื่อเสียง เนื่องจากทําเลที่ตั้งอยู่บน ชายฝั่งทิศตะวันตกของมหาสมุทรแอตแลนติกจึงสะดวกต่อการเดินเรือติดต่อกับประเทศต่างๆ
ในทวีปยุโรป แอฟริกา อเมริกา ฯลฯ เมืองนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกโดยองค์การ ยูเนสโก้ในปี ค.ศ.1996

   นําท่านชม สะพานโค้ง (Ponte Dom Luís I) ก่อสร้างขึ้นในปี ค.ศ.1879 ออกแบบโดยกุสตาฟ ไอแฟล (Gustave Eiffel) วิศวกรและสถาปนิกชาวฝรั่งเศสที่โด่งดังจากการออกแบบหอไอเฟล ประเทศฝรั่งเศส ความโดดเด่นคือสะพานโค้งสร้างด้วยโลหะสองชั้น ชั้นบนมีความยาวเกือบ 390 เมตร สูง 62 เมตรจากแม่น้ํา ชั้นล่างมีความยาว 174 เมตร สูง 10 เมตรจากแม่น้ํา หนักถึง 3,000 ตัน สร้างขึ้นเพื่ออํานวยความสะดวกในการเดินทางระหว่างปอร์โต และวิลลา โนวา เดอ เกียในโปรตุเกส สะพานแห่งนี้ถือเป็นสัญลักษณ์ที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของเมืองปอร์โต นําท่านชม อาราม Serra do Pilar (Monastery of Serra do Pilar) เป็นอารามเก่าตั้งอยู่บน โขดหินที่มองเห็นสะพานโค้ง Dom Luís I เป็นศูนย์กลางประวัติศาสตร์ของปอร์โตร่วมกับพื้นที่ อื่นๆ ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก้ในปี ค.ศ. 1996 การก่อสร้าง อารามแห่งแรกในบริเวณนี้เริ่มขึ้นในปี ค.ศ. 1538 โดยคําสั่งของนักบุญออกัสติน (Augustine) ภายใต้ค้าสั่งของ João III เพื่อใช้เป็นที่พํานักของพระสงฆ์ขนาดใหญ่ในปี ค.ศ.1597 ได้มีการ สร้างอารามหลังใหม่ขึ้น เนื่องจากอารามเดิมมีขนาดเล็กเกินไปสําหรับจํานวนพระสงฆ์ที่พํานัก นับตั้งแต่ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 20 อารามและพื้นที่ต่างๆ ได้เปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าชมและ โบสถ์ยังคงจัดพิธีมิสซาทุกวันอาทิตย์ พาเดินชม จัตุรัส Praça da Liberdade ที่ถนน Aliados Avenue ล้อมรอบไปด้วยอาคารเก่า แก่ที่สวยงามหลายอาคาร มีอนุสาวรีย์ทรงม้าของ King Prodo IV ตั้งตระหง่านอยู่ ที่นี่มักจะถูก ใช้เป็นสถานที่สําหรับจัดงานกิจกรรมสําคัญๆ ของเมืองอยู่เนือง ๆ โดยทางทิศเหนือของจัตุรัส เป็นที่ตั้งของอาคารศาลาว่าการเมืองปอร์โต


ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ
เข้าสู่โรงแรมที่พัก Mercure Porto Centro Aliados hotel 4* หรือเทียบเท่า

เช้า รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม

  นําท่านออกเดินทางสู่ เมืองบรากา (Braga) ) ≤62 KMS / 1 HRS> หนึ่งในเมืองที่เก่าแก่ที่สุด ของโปรตุเกสและยังเป็นที่ตั้งของอัครสังฆมณฑลโปรตุเกสที่เก่าแก่ที่สุด อัครสังฆมณฑลบรากา ของคริสตจักรคาทอลิก และเป็นที่ตั้งของสังฆมณฑลแห่งสเปน ระหว่างจักรวรรดิโรมัน หรือที่ รู้จักกันในชื่อ บราการา ออกัสตา (Bracara Augusta)

  นําท่านชม วิหาร Bom Jesus do Monte ชื่อวิหารนี้แปลว่า “พระเยซูผู้ประเสริฐแห่งภูเขา" สถานที่แสวงบุญของชาวคริสต์ที่แสดงให้เห็นประเพณีของยุโรปในการสร้างภูเขาศักดิ์สิทธิ์ ซึ่ง ได้รับการส่งเสริมโดยคริสตจักรคาทอลิก มีบันไดแบบบารอคขนาดใหญ่มีความสูงถึง 116 เมตร ที่นําไปสู่ยอดด้านบน มีลาน 17 แห่ง ประดับด้วยน้ําพุ รูปปั้น และการตกแต่งสไตล์บารอคอื่นๆ ตามธีมต่างๆ เมื่อมองจากด้านล่างของบันไดขึ้นไปด้านบนจะมีน้ําพุหินแกรนิตอันวิจิตรบนชานต่างๆ วิหารแห่งนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก้ในปี ค.ศ.2019 แล้วเดินทางกลับสู่ เมืองปอร์โต (Porto)


กลางวัน  รับประทานอาหารกลางวัน


  ณ บริเวณจัตุรัส Rua do Carmo เป็นที่ตั้งของโบสถ์ Igreja do Carmo (ฝั่งขวา) และ Igreja dos Carmelitas (ฝั่งซ้าย) โบสถ์สองแห่งในปอร์โตที่ตั้งเคียงข้างกันแต่ถูกแยกจากกันโดยบ้าน 3 ชั้นแคบๆ (กว้าง 1 เมตร) ซึ่งมีคนอาศัยอยู่จนถึงปี ค.ศ.1980 เรียกว่า คาซ่าเอสคอนดิด้า Casa Escondida ("บ้านที่ซ่อนอยู่") ตามตํานานสร้างขึ้นเพื่อให้โบสถ์ทั้งสองแห่งไม่มีกําแพง ร่วมกัน และเพื่อป้องกันความสัมพันธ์ใดๆ ระหว่างแม่ชี Igreja dos Carmelitas และพระสงฆ์ ของ Igreja do Carmo แต่มีอีกเหตุผลหนึ่งที่ธรรมดากว่าและน่าจะถูกต้องกว่าก็คือ อาคารนี้ สร้างขึ้นด้วยเหตุผลด้านสุนทรียศาสตร์อย่างแท้จริง เพื่อป้องกันช่องว่างที่ไม่น่าดูระหว่างโบสถ์ทั้งสองแห่งนั่นเอง


   นําท่านชม ร้านหนังสือลิฟราเรีย เลลโล (Livraria Lello) ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งใน ร้านหนังสือที่สวยงามที่สุดในโลก ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1881 โดยนาย José Lello ผู้ชื่นชอบในศิลปวัฒนธรรม รักการอ่านหนังสือ และหลงใหลในเสียงดนตรี หลังจากเปิดร้านได้หลายปี จึง ชักชวน Antonio Lello น้องชายของเขาเข้ามาร่วมทําธุรกิจหนังสือและเปิดตัวอาคารใหม่ในปี ค.ศ.1906 ซึ่งออกแบบโดยสถาปนิก Francisco Xavier Esteves ด้านหน้าอาคารตกแต่งด้วย กระจกสีกับภาพวาดที่เป็นสัญลักษณ์ของศิลปะและวิทยาศาสตร์ ภายในร้านหนังสือถูกตกแต่ง ด้วยสถาปัตยกรรมที่ผสมผสานระหว่างนีโอโกธิคและอาร์ตเดคโค โดดเด่นด้วยสีแดงสดของพื้นบันไดไม้วนสองชั้น ตัดกับราวบันไดสีน้ําตาลเข้มอย่างลงตัวที่เข้ากับชั้นหนังสือสุดคลาสสิคได้อย่างสวยงาม

   นําท่านชม โบสถ์เซนต์ฟรานซิส (Monument Church of St. Francis) เป็นโบสถ์สไตล์โกธิค ที่โดดเด่นที่สุดในปอร์โต และยังมีชื่อเสียงในด้านการตกแต่งภายในสไตล์บารอคที่งามวิจิตรอีก ด้วย ตั้งอยู่ในศูนย์กลางประวัติศาสตร์ของเมือง ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกโดย องค์การยูเนสโก้ โบสถ์หลังนี้สร้างขึ้นราวคริสต์ศตวรรษที่ 14 มีการตกแต่งภายในที่หรูหราที่สุด แห่งหนึ่งของยุโรป ภายในตกแต่งด้วยงานไม้ปิดทอง และมีข่าวลือว่ามีการใช้ทองคําประมาณ 400-600 กิโลกรัมในการตกแต่ง โบสถ์เซนต์ฟรานซิสจึงถูกเรียกว่า “โบสถ์ทองคํา” อีกหนึ่งจุด เด่นของโบสถ์แห่งนี้คือ Tree of Jesse ซึ่งเป็นประติมากรรมไม้ที่แกะสลักโดย Filipe da Silva และ Antonio Gomes ในปีค.ศ.1718 โดยพรรณนาถึงบรรพบุรุษของพระเยซูคริสต์ซึ่งปรากฏ บนต้นไม้ที่แตกแขนง ด้านใต้โบสถ์มีสุสานใต้ดินซึ่งเป็นที่ฝังศพนักบุญฟรานซิส และสมาชิกใน ตระกูลผู้สูงศักดิ์ของปอร์โต

   นําท่านชม พระราชวังพาลาซิโอ ดา โบลซา (Palacio da Bolsa) ตลาดหลักทรัพย์เก่าของ เมืองปอร์โต โดยเป็นอาคารสไตล์นีโอคลาสสิกที่สร้างมาตั้งแต่ช่วงคริสต์ศตวรรษที่19 ตั้งอยู่ถัดจากโบสถ์เซนต์ฟรานซิส สร้างขึ้นบนซากปรักหักพังของคอนแวนต์เซนต์ฟรานซิส หลังจากถูก ไฟไหม้ระหว่างสงคราม ภายในอาคารมีห้องโถงกลางขนาดใหญ่ที่เรียกว่า “Patio das Nacoes” (Courtyard of the Nations) ล้อมรอบด้วยโครงสร้างกระจกที่ทําให้แสงธรรมชาติส่องเข้ามาทั่ว พระราชวัง หลังจากนั้นเดินขึ้นบันไดหินอ่อนและหินแกรนิตไปสํารวจห้องสีทองซึ่งปกคลุมไป ด้วยแผ่นทองคําเปลว ห้องสมัชชาใหญ่ที่ตกแต่งด้วยไม้และห้องอื่นๆ ที่ตกแต่งอย่างสวยงาม ไฮไลท์ของพระราชวัง คือ ห้องอาหรับ ตกแต่งในสไตล์แขกมัวร์ โดยได้รับแรงบันดาลใจจาก Alhambra และเป็นสถานที่สําหรับจัดงานเลี้ยงรับรองอย่างเป็นทางการของพระราชวังแห่งนี้ อิสระให้ท่านเดินเล่น ณ Praça da Ribeira จัตุรัสที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ําโดรู เป็นสถานที่เก่าแก่และ น่าตื่นเต้นที่สุดของเมืองปอร์โต้ที่น่าตื่นตาไปกับสีสันของอาคารบ้านเรือนริมน้ําและถนนอันคด เคี้ยวของจัตุรัส มีทั้งหอศิลป์ที่เต็มไปด้วยงานศิลปะท้องถิ่น ร้านขายของที่ระลึกที่จําหน่ายงาน ฝีมือ และร้านคาเฟ่ที่เสิร์ฟเมนูท้องถิ่นมากมาย


ค่ำ  รับประทานอาหารค่ำ
เข้าสู่โรงแรมที่พัก Mercure Porto Centro Aliados 4* หรือเทียบเท่า

เช้า  รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม

เดินทางไปยังสนามบินนานาชาติปอร์โต เพื่อเตรียมเช็คอินสําหรับเที่ยวบินระหว่างประเทศ

08.35 น. เหินฟ้าสู่ บาร์เซโลนา (Barcelona) ประเทศสเปน โดยเที่ยวบินที่ WY 8477 (08.35-11.20) (ใช้เวลาบิน 1 ชั่วโมง 45 นาที)

11.20 น. เดินทางถึงสนามบินนานาชาติบาร์เซโลนา หลังจากผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมืองพร้อมรับกระเป๋าสัมภาระแล้ว พบกับไกด์ท้องถิ่น


กลางวัน  รับประทานอาหารกลางวัน

   นําท่านเดินทางข้ามพรมแดนเข้าสู่ เมืองอันดอร์รา ลา เวลลา (Andorra La Vella) ประเทศ อันดอร์รา <205 KMS / 3HRS> เมืองหลวงกลางหุบเขาของประเทศอันดอร์ราตั้งอยู่บนความ สูง 1,023 เมตรเหนือระดับน้ําทะเล กลางเทือกเขาพิเรนีส (Pyrenees) ระหว่างประเทศฝรั่งเศส และประเทศสเปน ที่สําคัญยังเป็นเมืองหลวงที่ตั้งอยู่บนพื้นที่ที่สูงที่สุดของยุโรปอีกด้วย ในส่วน ตัวเมืองหลวงนั้นจะแบ่งเป็นสองส่วน ส่วนแรกจะอยู่ทางตอนเหนือ ส่วนใหญ่จะประกอบไปด้วย พื้นที่เชิงพาณิชย์ ส่วนทางด้านทิศใต้และทิศตะวันตก ซึ่งอยู่ในย่านที่ใกล้กับแม่น้า Gran Valira จะเป็นเมืองเก่า สถานที่ราชการ และสถานที่ทางประวัติศาสตร์ต่างๆ


ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ
เข้าสู่โรงแรมที่พัก NH Andorra la Vella hotel 4* หรือเทียบเท่า

เช้า  รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม

  เช้านี้เดินออกกําลังกายเบาๆ (1 ชั่วโมง) ตามเส้นทาง Sola Irrigation Canal Trail เพื่อชมวิว ทิวทัศน์ของเมืองในหุบเขาเบื้องล่างในมุมกว้างที่มีเทือกเขาเป็นฉากหลัง พร้อมสูดโอโซนให้เต็มปอด

  นําท่านชม โบสถ์ Sant Joan de Caselles สร้างขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 11 สไตล์โรมาเนสก์ สร้างขึ้นจากหินในท้องถิ่น ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของอันดอร์รา ภายในมีจิตรกรรมฝาผนังและประติมากรรมพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน มีแท่นบูชาจากคริสต์ศตวรรษ ที่ 16 ซึ่งได้รับอิทธิพลจากยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาของอิตาลีและเยอรมัน ซึ่งแสดงให้เห็นภาพชีวิตและการพลีชีพของนักบุญจอห์น ผู้เขียนคัมภีร์ของศาสนาคริสต์และนักบุญอุปถัมภ์ของโบสถ์

  นําท่านแวะ จุดชมวิว Mirador Roc del Quer เป็นทางเดินยาว 20 เมตรที่ทอดยาวออกไปใน อากาศ สร้างความรู้สึกว่าคุณกําลังลอยอยู่เหนือหุบเขาท่ามกลางเทือกเขาพิเรนีส ส่วนหนึ่งของ ทางเดินเป็นกระจกใส มีประติมากรรม The Ponderer ชายนั่งห้อยขาอยู่ที่ปลายทางเดินโดย ศิลปิน Miguel Ángel González ทางเดินนี้เปิดใช้งานเมื่อปี ค.ศ.2016

  นําท่านชม มหาวิหารแห่งเมริทเซลล์ (Sanctuary of Our Lady of Meritxell) ศาสนสถาน ที่สําคัญที่สุดในอันดอร์รา สร้างขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 17 เป็นที่ประดิษฐานของพระแม่มารีแห่ง เมริทเซลล์ เป็นรูปแกะสลักหลายสีที่ชวนให้นึกถึงศิลปะโรมาเนสก์ดั้งเดิมที่ถูกทําลายจากเหตุ การณ์ไฟไหม้ในปี ค.ศ. 1972 นอกจากนี้มหาวิหารแห่งเมริทเซลล์ยังมีงานแกะสลักอื่นๆ ของ เหล่านักบุญในประเทศอันดอร์รา มหาวิหารแห่งนี้ได้รับสมญานามว่า Minor Basilica ซึ่งมอบ ให้โดยสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสในปี ค.ศ.2014 ตั้งแต่นั้นมาเมริทเซลล์ก็เป็นส่วนหนึ่ง ของเส้นทางที่เรียกว่า Marian Route ซึ่งผ่านสถานที่สําคัญอีก 4 แห่งในสเปนและฝรั่งเศส ได้แก่ El Pilar, Montserrat, Torreciudad และ Lourdes ด้วยเหตุนี้มหาวิหารแห่งนี้จึงกลาย เป็นสถานที่ดึงดูดผู้มาเยือนด้วยศรัทธาและจิตวิญญาณ


กลางวัน  รับประทานอาหารกลางวัน


  นําท่านชม โบสถ์เซนต์เอสเตฟแห่งอันดอร์รา (St. Esteve of Andorra Church) เป็นโบสถ์ สไตล์โรมาเนสก์ สร้างขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่12 และมีการบูรณะครั้งใหญ่ในคริสต์ศตวรรษที่ 20 โดยสถาปนิก Joseph Puig จากโบสถ์เดิมเหลือเพียงมุขครึ่งวงกลม และมุขครึ่งวงกลมขนาด เล็กที่ยังคงอยู่ โบสถ์แห่งนี้มีมุขครึ่งวงกลมที่ใหญ่ที่สุดและตกแต่งอย่างหรูหราที่สุดที่เก็บรักษา ไว้ในอันดอร์รา ซึ่งมีหน้าต่างสองช่องสองบาน และหลังคาทรงกลมที่ทําจากหินภูเขาไฟ ผนังทั้ง หมดได้รับการตกแต่งด้วยภาพจิตรกรรมฝาผนังในสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 13 ปัจจุบันบางส่วนได้ ถูกเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑ์ศิลปะแห่งชาติคาเทโลเนีย นอกจากนี้ยังมีภาพจิตรกรรมฝาผนังที่ สําคัญภายในโบสถ์ คือ ภาพวาดแห่งดวงวิญญาณจากคริสต์ศตวรรษที่ 18 อิสระให้ท่านได้แวะถ่ายรูปและเดินเล่นชมเมืองเลาะริมแม่น้ําที่ไหลผ่านกลางเมือง แล้วพาไป เดินช้อปปิ้งบริเวณ Meritxell Avenue ถนนสายหลักแห่งช๊อปปิ้งสินค้าปลอดภาษีของประเทศ อันดอร์รา


ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ
เข้าสู่โรงแรมที่พัก NH Andorra la Vella 4* หรือเทียบเท่า

เช้า  รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม

  นําท่านเดินทางกลับข้ามพรมแดนสู่ เมืองบาร์เซโลนา (Barcelona) <195 KMS / 2.5 HRS> ชื่อเมือง "บาร์เซโลนา" มาจากคําว่า "บาร์เคโน" (Barkeno) ภาษาพื้นเมืองไอบีเรียนโบราณ ซึ่ง พิสูจน์มาจากเหรียญโบราณ เป็นอีกหนึ่งเมืองท่องเที่ยวและเมืองท่าสําคัญของประเทศสเปนที่มี ชื่อเสียงทั้งด้านการค้า การศึกษา สื่อความบันเทิง แฟชั่น วิทยาศาสตร์ และศิลปะ จนได้ชื่อว่า เป็นศูนย์กลางทางการค้าและวัฒนธรรมที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในคาบสมุทรไอบีเรีย บาร์เซโลนา เต็มไปด้วยแหล่งท่องเที่ยวหลากสีสัน โดดเด่นด้านสถาปัตยกรรมเพราะเป็นเมืองต้นกําเนิดของ สถาปนิกชื่อดังนามว่า “อันตอนี เกาดี (Antoni Gaudi)”

ระหว่างทาง นําท่านแวะชม มหาวิหารซานตามาเรีย เดอ มอนต์เซอร์รัต (Santa Maria de Montserrat Abbey) ตั้งอยู่บนภูเขามอนต์เซอร์รัต ก่อตั้งขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 11 และสร้าง ขึ้นใหม่ระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 19-20 เนื่องจากการทําลายล้างของกองทหารนโปเลียน เป็น สถานที่แสวงบุญที่สําคัญและเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยม มีสถาปัตยกรรมที่โดดเด่น งาน ศิลปะที่ทรงคุณค่า ความสําคัญทางศาสนา และ ทิวทัศน์หุบเขาที่สวยงาม มหาวิหารนี้ได้รับการตกแต่งอย่างวิจิตรงดงามและเป็นที่ตั้งของรูปปั้น พระแม่มารี าอันโด่งดัง รวมถึงพิพิธภัณฑ์ศิลปะ ทางศาสนาที่จัดแสดงภาพวาด โบราณวัตถุทางโบราณคดี งานทอง และประติมากรรมสมัยใหม่

   นําท่านชม โรงพยาบาลเดอเซนต์เปา (Hospital de Sant Pau) อาคารอาร์ตนูโวที่ใหญ่ที่สุด ในโลก อีกทั้งยังเป็นงานที่สําคัญที่สุดของสถาปนิก Lluís Domenech i Montaner อาคารแห่งนี้ เคยเป็นโรงพยาบาลที่ใช้งานจริงจนถึงปี ค.ศ.2009 เมื่ออาคารหลังใหม่เปิดใช้งาน อาคารหลัง เก่าจึงเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ในปี ค.ศ.2014 ด้วยเอกลักษณ์และความงามทางศิลปะแบบอาร์ตนูโว ทําให้ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก้ในปี ค.ศ.1997

   นําท่านชม ปาร์คเกวย์ (Park Guell) สวนประติมากรรมมหัศจรรย์แห่งบาร์เซโลนา ที่นี่โดด เด่นด้านศิลปะงานโมเสค ซึ่งออกแบบโดย อันตอนี เกาดี อี กูร์เนต (Antoni Gaudi i Cornet) สถาปนิกชาวคาตาลัน ประเทศสเปน ภายในสวนแห่งนี้ถูกตกแต่งไปด้วยงานประติมากรรม สถาปัตยกรรม ศิลปกรรมที่ประดับตกแต่งลวดลายด้วยเครื่องกระเบื้องโมเสคนับล้านชิ้น จุดเด่นของสวนสาธารณะแห่งนี้คือ "มังกรโมเสค" (Mosaic dragon) ที่ไต่คลานบนบันไดน้ําพุ อันเป็นจุดสนใจของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก ปัจจุบันสวนสาธารณะปาร์คเกวย์ได้รับการขึ้น ทะเบียนให้เป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก้ในปี ค.ศ.2005


กลางวัน  รับประทานอาหารกลางวัน


   นําท่านชม มหาวิหารซากราดา ฟาอมิเลียร์ (Sagrada Familia) สัญลักษณ์แห่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่สูงถึง 170 เมตร ออกแบบก่อสร้างอย่างสวยงามแปลกตา ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1882 เป็นผลงานชั้น ยอดที่แสดงถึงอัจฉริยภาพของ อันตอนี เกาดี อี กูร์เนต สถาปนิกชื่อดัง เป็นผลงานที่เรียกว่า โมเดิร์นนิสโม ซึ่งเป็นงานศิลปะเฉพาะถิ่นและเป็นนวศิลป์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ได้รับการขึ้น
ทะเบียนให้เป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก้แม้จะยังสร้างไม่เสร็จก็ตาม

  นําท่านชม คาซา มิลา (Casa Mila) เป็นอพาร์ทเม้นท์ มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ลา เปเดอรา (La Pedrera)” แปลว่า “เหมืองหิน” สร้างมาตั้งแต่ปีค.ศ.1906-1912 อพาร์ทเม้นท์หลังสุดท้ายที่ ออกแบบโดยอันตอนี เกาดี อี กูร์เนต ส่วนระเบียงเหล็กดัดบิดนั้นออกแบบโดย Josep Maria Jujol สถาปนิกชาวสเปน ในสมัยก่อนผู้คนมักจะบอกว่าตึกนี้หน้าตาช่างหน้าเกลียดเหลือเกินแถมยังเป็นอพาร์ทเม้นท์หรูที่มีราคาแพงอีก แต่ในปัจจุบันด้วยความแปลกและไม่เหมือนใคร ทําให้เป็นที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกให้มาเยี่ยมชม และได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก้


   นําท่านชม คฤหาสน์คาซา บัตโล (Casa Batllo) เป็นเหมือนบ้านแห่งเทพนิยาย ดีไซน์หรูหรา ด้วยอัญมณี แต่มีการประดับตกแต่งด้วยลวดลายดอกไม้ สร้างขึ้นตั้งแต่ปีค.ศ.1877 เป็นบ้าน ของมหาเศรษฐีชาวบาร์เซโลนา การออกแบบได้รับแรงบันดาลใจจาก “เรื่องราวของเซนต์จอร์จ นักบุญชาวกาตาลุญญาผู้พิชิตมังกร” หลังคาใช้กระเบื้องสีฟ้าและสีม่วง สีเขียว เหลือบๆ กัน วางลักษณะรูปร่างหลังคาคล้ายเกล็ดมังกร ในเวลากลางคืนคฤหาสน์หลังนี้จะเปิดไฟสีสันต่างๆ ชมพูบ้าง ส้มบ้าง จึงเห็นความงามที่แตกต่างกันออกไป และได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดก โลกโดยองค์การยูเนสโก้อีกด้วย


ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ
เข้าสู่โรงแรมที่พัก Mercure Barcelona Condor 4* หรือเทียบเท่า

เช้า  รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม

  นําท่านชม โรงละคร Palau de la Musica Catalana สร้างขึ้นในระหว่างปี ค.ศ.1905-1908 ด้วยแนวนวนิยม (Modernista) แห่งคาตาลัน เป็นยุคที่การเคลื่อนไหวทางวัฒนธรรมผ่านทาง เสียงเพลงกําลังรุ่งโรจน์ สถาปัตยกรรมและการตกแต่งของที่นี่มีทั้งศิลปะของสเปนและอาหรับ ใช้เทคนิคหลายรูปแบบทั้งอิฐสี กระเบื้องเคลือบ โมเสก กระจกสี และปูนปั้น ปัจจุบันได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก้อีกด้วย

  นําท่านเดินทางสู่ ถนนคนเดินลารัมบลาส (Las Ramblas) ถนนคนเดินในย่านบาร์เซโลนาที่ มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดีในหมู่ชนพื้นเมืองและนักท่องเที่ยว ถนนสายเล็กๆที่มีความ ยาวเพียง 1.2 กิโลเมตร เป็นที่ตั้งของตลาด Mercat de la Boqueria ประติมากรรมบนถนนนี้ เป็นจุดเช็คอินสําหรับถ่ายภาพของนักท่องเที่ยวเป็นหลักฐานว่าได้มาถึงที่นี่ มีหลายชิ้นน่าสนใจ เช่น รูปปั้นของ Thomas Alva Edison นักประดิษฐ์ชื่อดังผู้ค้นพบหลอดไฟส่องสว่างที่คนไทยก็ คุ้นเคย หรือ ประติมากรรม Galileo Galilei กับกล้องโทรทัศน์ของเขา

กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน

12.30 น. นําท่านเดินทางไปยังสนามบินนานาชาติบาร์เซโลนา เพื่อเตรียมตัวเดินทางกลับสู่ประเทศไทย

15.30 น.เหินฟ้าสู่ ดูไบ โดยสายการบิน EMIRATES เที่ยวบินที่ EK 256 (15.30-00.15) (ใช้เวลาบิน 6 ชั่วโมง 45 นาที) (บริการอาหารบนเครื่อง)

00.15 น. เดินทางถึงสนามบินนานาชาติดูไบ รอเปลี่ยนเครื่องบิน

03.45 น. เหินฟ้าสู่ กรุงเทพฯ โดยสายการบิน EMIRATES เที่ยวบินที่ EK 376 (03.45-12.55) (ใช้เวลาบิน 6 ชั่วโมง 10 นาที) (บริการอาหารบนเครื่อง)

12.55 น. เดินทางถึงสนามบินสุวรรณภูมิ กรุงเทพฯ โดยสวัสดิภาพ

แผนที่

เลือกวันเดินทาง

วันเดินทางไป - กลับ ผู้ใหญ่ท่านละ พักเดี่ยวเพิ่มเงิน ราคาเด็กท่านละ
27 ก.ย. 67 - 06 ต.ค. 67149,900 บาท21,500 บาทสอบถามเพิ่มเติมจอง

เงื่อนไข

- ค่าตั๋วเครื่องบินชั้นประหยัดสายการบิน Emirates 4 เที่ยวบิน และสายการบิน Vueling Airlines 1 เที่ยวบิน
- โรงแรมที่พักระดับมาตรฐาน 4 ดาว พักห้องคู่ รวม 7 คืน
- ค่าอาหารทุกมื้อตามที่ระบุในรายการ
- ค่าเข้าชมสถานที่ต่าง ๆ ตามที่ระบุในรายการ
- ค่ามัคคุเทศก์ท้องถิ่น (พูดภาษาอังกฤษ) และหัวหน้าทัวร์จากเมืองไทย
- ค่าพาหนะในการเดินทางพร้อมนําทัศนาจรตลอดเส้นทาง
- ค่ากรมธรรม์ประกันอุบัติเหตุการเดินทาง ตามเงื่อนไขกรมธรรม์วงเงิน 1,000,000 บาท - ค่าทิปไกด์ท้องถิ่นและคนขับรถ
- ค่าวีซ่าเชงเก้นแบบนักท่องเที่ยว (ขอผ่านสถานทูตโปรตุเกส)

- ค่าขนกระเป๋าเดินทางน้ําหนักเกิน 25 กิโลกรัม อาจเสียค่าขนส่งเพิ่ม
- ค่าใช้จ่ายส่วนตัว อาทิ ค่าโทรศัพท์ ค่าซักรีด ค่าเครื่องดื่ม อื่นๆ นอกเหนือจากที่ระบุไว้ในรายการ
- ค่าภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% // ค่าภาษีหัก ณ ที่จ่าย 3%
- ค่าทิปหัวหน้าทัวร์ไทย
- ค่าพนักงานยกกระเป๋าในโรงแรม

1. บริษัทเป็นเพียงตัวแทนการท่องเที่ยว สายการบิน และตัวแทนการท่องเที่ยวในต่างประเทศ ซึ่งไม่อาจ รับผิดชอบต่อความเสียหายต่างๆที่อยู่เหนือการควบคุมของเจ้าหน้าที่บริษัทฯ อาทิเช่น การนัดหยุดงาน การจลาจล เปลี่ยนแปลงกําหนดเวลาในตารางบิน ภัยธรรมชาติ หรือค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมที่เกิดขึ้นทั้งทาง ตรงหรือทางอ้อม เช่น การเจ็บป่วย การถูกทําร้าย การสูญหาย ความล่าช้า หรืออุบัติเหตุต่างๆ ฯลฯ
2. รายการท่องเที่ยวอาจจะเปลี่ยนแปลงตามความเหมาะสม เนื่องจากความล่าช้าของสายการบิน โรงแรม ที่พักในต่างประเทศ เหตุการณ์ทางการเมือง และภัยธรรมชาติ ฯลฯ โดยบริษัทจะคํานึงถึงความสะดวก ของผู้เดินทางเป็นสําคัญ
3. รายการท่องเที่ยวนี้เป็นการชําระแบบเหมาจ่ายกับบริษัทตัวแทนในต่างประเทศ ท่านไม่สามารถเรียก ร้องเงินคืนในกรณีที่ท่านปฏิเสธหรือสละสิทธิ์ในการใช้บริการนั้นที่ทางทัวร์จัดให้ ยกเว้นจะตกลงกันเป็นกรณีไป บริษัทฯจะไม่รับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น
4. บริษัทฯขอสงวนสิทธิ์ในการยกเลิกการเดินทางในกรณีที่มีผู้เดินทางต่ำกว่า 10 ท่าน โดยจะแจ้งให้ผู้เดินทางทราบล่วงหน้าก่อนเดินทาง
5. บริษัทฯไม่รับผิดชอบในกรณีที่กองตรวจคนเข้าเมืองห้ามผู้เดินทางเนื่องจากมีสิ่งผิดกฎหมายหรือ สิ่งของห้ามนําเข้าประเทศ เอกสารเดินทางไม่ถูกต้อง หรือมีความประพฤติส่อไปในทางเสื่อมเสีย หรือ ด้วยเหตุผลใดๆก็ตาม ซึ่งกองตรวจคนเข้าเมืองพิจารณาแล้ว บริษัทฯไม่อาจคืนเงินให้ท่านได้ไม่ว่า จํานวนทั้งหมดหรือบางส่วน

** เพื่อความถูกต้อง กรุณาตรวจสอบข้อมูลเดินทางและเงื่อนไขการชำระเงินกับทางเจ้าหน้าที่ฝ่ายขายทุกครั้ง
ราคาเริ่มต้น
149,900 บาท
รหัส 108-01262 ทัวร์โปรตุเกส-อันดอร์รา-สเปน
ราคาเริ่มต้น 149,900 บาท
เดินทางช่วง ก.ย.67
เดินทางโดย Emirates (EK)
ดูเพิ่มเติม https://bigsmiletravel.com/tour.php?tour_id=6860

ไฟล์ PDF https://tourfiles.vm101.net/pdf/835/108-01262.pdf

สนใจติดต่อ บริษัท บิ๊กสมาย ทราเวล จำกัด
โทร 085-553-6665
LINE ID @bigsmiletravel
อีเมล bigsmiletravel88@gmail.com
คัดลอกข้อมูลทัวร์
เพิ่มในรายการโปรด
Share on social networks
Scan QRCode
ติดต่อสำนักงาน
บริษัท บิ๊กสมาย ทราเวล จำกัด

129 ซอยประเสริฐมนูกิจ 29 ถนนประเสริฐมนูกิจ แขวงจรเข้บัว เขตลาดพร้าว กรุงเทพมหานคร 10230

จันทร์-ศุกร์ 9.00-18.00
บริการของเรา
บริการจองตั๋วเครื่องบิน
บริการทำ VISA ทุกประเทศ
บริการจัดนำเที่ยวต่างประเทศ
บริการจัดนำเที่ยวในประเทศ
บริการเช่ารถตู้ รถบัสโดยสาร
บริการจัดอบรมประชุมสัมมนา
บริการจองที่พัก โรงแรม รีสอร์ท
ติดต่อฝ่ายบริการลูกค้า
LineID
Add LINE Friends via QR Code
ติดตามเรา
home
หน้าหลัก
quatation
ขอใบเสนอราคา
chat
ติดต่อเรา
ติดต่อ
chat ติดต่อฝ่ายบริการลูกค้า
search ค้นหาโปรแกรมทัวร์
home หน้าหลัก
approval ขอใบเสนอราคา